สรุปการพิจารณา (โดยย่อ)

สรุปการพิจารณา (โดยย่อ)
 “ การพิจารณาผู้รู้ คือจิตล้วนๆ นับเป็นธรรมชั้นสูงยิ่ง ซึ่งผู้ปฏิบัติเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีทางพิจารณาส่วนอื่นๆ  นอกจากพิจารณาจิต  (ผู้รู้)เพื่อธรรมะสุดยอดเท่านั้น  ถ้าไม่บอกไว้ว่าให้พิจารณาจิตฯ  ผู้ปฏิบัติ  ก็จะติดอยู่ในจุดนั้น  แล้วจะหาทางหลุดพ้นไม่เจอ  การพิจารณาจิต  (ผู้รู้)  เป็นทางหลุดพ้นสำหรับธรรมชั้นสูง (ปัญญา) ส่วนธรรมชั้นต่ำ ธรรมชั้นกลาง (ศีล สมาธิ) นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โปรดอย่านำมาคละเคล้ากัน  (แยกแยะให้ออก) จะเกิดความสงสัย หาที่ยึดไม่ได้ฯ ” (ธัมมะในลิขิต ฉบับที่ ๕๖ เขียนโดย หลวงตามหาบัว) อธิบาย เนื่องจากทิพจักขุ คือ ตาทิพย์ ไม่เกิด เมื่อจิตสงบ มีสติ (ตัวรู้) จะมโนภาพ นึก คาดคะเนฯ ให้เป็นร่างกาย หรือ อสุภะฯไม่ได้ เพราะ จะข่มกิเลสชั่วคราว ทำให้หลง  และ  เสียเวลาเปล่า  พิจารณาแบบนี้ เรียกว่า ตะครุบเงา สมาธิหัวตอ , วิปัสสนาตกน้ำฯ (ดูภาวนาเพิ่ม)

ทำจิตให้สงบด้วยคำบริกรรมที่ฐานของจิต (เช่น ที่หน้าผาก) แล้วมีสติตัวรู้ (นั่นคือ ปัจจุบัน) อย่ากำหนดให้สว่าง (ให้สว่างเอง) อย่ากำหนดให้เห็นอะไรต่างๆ (ให้เห็นอะไรต่างๆ เอง) ที่หน้าผาก คือ จุดต่อม ผู้รู้ ภพชาติ อวิชชา (รังอวิชชา) และ จิตอยู่ที่ตรงจุดนี้ เมื่อจิตสงบ (มืด สว่าง เห็นนิมิตต่างๆ หรือ ไม่เห็นอะไร  ก็ไม่เป็นไร)  เพ่งเบาๆ  มโนภาพ  นึกให้สลายแยกออก ตามเข้าไปเรื่อยๆ ตัวสลาย คือ ตัวอนัตตา , ตัววิปัสสนา  และ  เป็นตัวปัญญา คือ สลายทำลายกิเลส (ด้วยความมีสติตัวรู้ตามตลอด  โดย  อนุโลมปฏิโลมฯ) เรียก สติกำหนดพิจารณาจิต (ผู้รู้) เมื่อพอเพียง  กิเลสจะเริ่มเบาบาง (๔–๒๐ วัน) ที่สุด ก็จะหมดสิ้นไปจากใจ

  การออกบวช  รักษาศีล  อยู่ป่า   รักษาข้อวัตร   สมาทานธุดงค์   อดอาหาร ให้ดูตามจริต และ กำลังของตนเอง ,เดินสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทาต่างๆ เหล่านี้ นั่นคือ เครื่องอยู่ เครื่องอาศัย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของสมถะ  จึง    ต้องผสมผสานกับการพิจารณาที่ถูกต้อง (สมถะ + วิปัสสนา = ปัญญา) จึงจะเป็นการปฏิบัติ เพื่อบรรลุธรรมอันสุดยอดโดยความราบรื่น  อริยบุคคลท่านได้สร้างบารมี  คือ  ลงทุนมามากนับชาติไม่ถ้วน  ปัจจุบัน   บ่งบอกถึงอดีต และ การกระทำในปัจจุบัน เป็นสิ่งบ่งบอกถึงอนาคต  ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คือ สร้างบุญกุศล และ รีบเร่งภาวนา พอเพียงแล้ว อนาคตก็จะดีเอง