ประวัติ พระ สุปัญญา ธนปัญโญ (ผู้เขียน)











       ประวัติ พระ สุปัญญา ธนปัญโญ (ผู้เขียน)
นามเดิม สุปัญญา ปัญญาดิลกพงษ์ เป็นบุตรคนที่ ๗ มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน ของ นาย สุภาพ นาง สุภาพร เกิด วัน เสาร์ ที่ ๔ มิ.ย. พ.ศ. ๒๕๐๙ แรม ๑ ค่ำ ปี มะเมีย ณ บ้านเลขที่ ๑๖๗ หมู่ ๔ อ.นาแก จ.นครพนม

         เกิด วัน เสาร์                                        =       ๗     (อาทิตย์ = ๑)
         ๔ มิ.ย. พ.ศ. ๒๕๐๙ / ปฏิทิน ๑๐๐ ปี     =        ๗  (เดือน ๗ แรม ๑ ค่ำ)
         ปี มะเมีย สูง ๑๗๔ ซ.ม.                        =        ๗       (ชวด = ๑)
         น้ำหนัก ๖๔ ก.ก. เป็นบุตรคนที่ ๗          =       ๗       (สีผิวขาวเหลือง)
         ๒๕๐๙ (๒ + ๕ + ๐ + ๙ = ๑๖) , ๑ + ๖  =       ๗     (สัณฐานสันทัด)
         พรรษา ๗  (เริ่มเขียนหนังสือ)                =        ๗        (ธรรมทาน)
         ๗ ต.ค. พ.ศ. ๒๕๕๖ ลูกชายเสียชีวิต     =        ๗   (นาย สุพพัฒวงศ์)

         การศึกษา  เรียนชั้นประถมที่  ร.ร. นาแกผดุงราชกิจเจริญ   ร.ร. บ้านแพง  ร.ร. บ้านแพงวิทยา   จบ ป. 6 ที่ ร.ร. บ้านนาแกน้อย  ๒๕๒๒   จบ ม. ๖  ที่  ร.ร. นาแกสามัคคีวิทยา ปี พ.ศ. ๒๕๒๘  กีฬาหลัก บาสเกตบอล กีฬาอื่นๆ  วอลเล่ย์บอล แฮนด์บอล ปิงปอง หมากรุก จบเรียบเรียงดนตรี (ร.ร. ดนตรี
สยามกลการ ปทุมวัน) ครูสมาธิ รุ่น ๓ ครูสมาธิชั้นสูง  (สถาบันพลังจิตตา  นุภาพ วัดธรรมมงคล  กรุงเทพฯ  ๒๕๔๒)  การทำงาน  ครูดนตรี  นัก  –  ตรีอาชีพ  (เปียโน คีย์บอร์ด)  ๑๕ ปี ตัวแทน บ. เอ.ไอ.เอ. ๘ ปี  ครอบครัว  เคยมี แต่แยกทาง บุตร ชื่อ นาย สุพพัฒวงศ์ เสียชีวิต เมื่อ ๗ ต.ค ๒๕๕๖)  อุปสมบท ก่อนจะบวชครั้งล่าสุด เคยภาวนา กับ พ่อแม่ครูอาจารย์ มา  หลายสำนัก  ตั้งแต่  ปี  ๒๕๔๐  จึงทำให้มีพื้นฐานการปฏิบัติมาเป็นอย่างดี  (บวชเมื่อ ๒๒ พ.ค. ๒๕๔๗  เวลา ๑๒.๓๓ น.  อายุ ๓๘ ปี  ณ วัดป่าศิริวัน  บรรพต ต.โนนสมบูรณ์ อ.เสิงสาง  จ.นครราชสีมา  โดย  พระครูอรุณคุณา ทร (ล.พ.สุเมธ ) เป็น พระอุปัชฌาย์ พระเจริญ โรจนธัมโม เป็น พระกรรมวาจาจารย์ พระสมปอง อริยจิตโต เป็น พระอนุสาวนาจารย์) เคยศึกษา และ ภาวนา กับ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร (เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ) และ หลวงปู่อว้าน เขมโก (เจ้าอาวาสวัดป่านาคนิมิต บ.นามน อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร) ระยะหนึ่ง และ พ่อแม่ครูอาจารย์หลายท่าน ไม่สะดวกที่จะนำมากล่าว จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

       เนื่องจากอายุเริ่มมาก การศึกษาปฏิบัติ จะเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนมาก บางครั้ง ก็หาโอกาสศึกษากับครูอาจารย์บางท่านเป็นระยะ (รีบเรียนให้จบซะ แล้วก็อย่าไปเข้าโรงเรียนอีก เพราะ จะวนไปวนมา (เปรียบเขยใหม่)) ช่วง ๔ – ๕ ปีหลัง มีโอกาสฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆ ท่าน จากวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรฯ หลักๆ คือ หลวงตามหาบัว เกิดความอัศจรรย์ และ ศรัทธาหลายๆ อย่าง (ธรรมเหนือโลก , ธรรมธาตุครอบไตรโลกธาตุ) การศึกษาปฏิบัติ ส่วนมากจะภาวนา และ เปิดวิทยุฟังเทศน์ธรรมะกำหนดจิตไปด้วย วันละหลายชั่วโมง อย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับรู้ธรรมะต่างซึมซาบอย่างหลากหลาย

ประวัติการจำพรรษา

พรรษา ๑/๒๕๔๗  ที่พักสงฆ์  บ.คำแคน   ต.หนองสรวง    อ.หนองกรุงศรี จ.กาฬสินธุ์
พรรษา ๒/๒๕๔๘ วัดธาตุศรีคุณ อ.นาแก จ.นครพนม
พรรษา ๓/๒๕๔๙  สำนักสงฆ์บ้านชาติพัฒนา   ต.อุ่มเม่า   อ.ธาตุพนม   จ.นครพนม
พรรษา ๔/๒๕๕๐  ป่าช้า บ.จำปาศรี อ.นาแก  จ.นครพนม  สร้างวัด  เนื่องจากบ้านไม่มีวัด (อยู่ ๑ รูป)
พรรษา ๕/๒๕๕๑  ที่พักสงฆ์ป่าช้า  บ.นาสีนวล  อ.สหัสขันธ์   จ.กาฬสินธุ์  (อยู่ ๑ รูป)
พรรษา ๖/๒๕๕๒  ที่พักสงฆ์ขันไทย บ.ดานสาวคอย อ.นาแก จ.นครพนม  (อยู่ ๑ รูป)

พรรษา ๗ – ๑๑ / ๒๕๕๓ – ๗ เรือนว่าง (สถานที่ส่วนตัว ,  อิสระ) กิเลสได้หมดสิ้นไปจากใจ ณ ที่ตรงนี้ เพราะ เป็นที่เกิด และเป็น  ที่ดินของพ่อแม่ จึงเป็นสถานที่มหามงคลฯ เลขที่ ๑๖๗ หมู่ ๔ อ.นาแก จ.นครพนม (อยู่ ๑ รูป)    

           รักสันโดษ และ อยากพ้นทุกข์โดยเร็ว การปฏิบัติจะไม่ค่อยคลุกคลีกับหมู่คณะ ส่วนมากจะอยู่ และ ไปคนเดียว กินง่าย อยู่ง่าย ชอบความเป็นระเบียบ สะอาด แบ่งปัน ทำทาน เอื้อเฟื้อ  ซึ่งเป็นอุปนิสัยปกติ  ด้วยเหตุนี้ชีวิตของความเป็นพระ จึงทำให้เกิดภูมิต้านทานตามมา เพราะ  ในการฉันอาหาร ก็แล้วแต่ทางญาติโยม  เขาจะจัดหามาให้  ตามสมควรในธรรมวินัย หลวงตามหาบัว  ท่านเทศน์ว่า  “ อยู่ไหนก็ได้ ขอให้อยู่   และ   ไปคนเดียวเพราะ  ไม่กังวล  พระอรหันต์   ตายง่าย   อย่าหวงของอร่อยไว้กินคนเดียว  ดั่งที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า “ ทานข้าวด้วยกันไหม ? ”  เพราะ  เป็นธรรมเนียมในการชักชวน และ แบ่งปัน ของผู้มีอัธยาศัยดีต่อกัน เมื่อรู้ทางแล้ว ก็ให้รีบแก้ไข เพราะ จะทำให้เกิดความราบรื่นตามมา ลูกศิษย์ จะเก่งขนาดไหน  ก็   อยู่ใต้ฝ่าเท้าครูอาจารย์ อย่าตำหนิท่าน  เพราะ  ท่านเป็นพ่อแม่เรา  เราบอกท่านไม่ฟังให้นิ่งเฉย หากไปทะเลาะกับท่าน เรานั่นแหละ จะเป็นฝ่ายผิด ”