เริ่มแรกปฏิบัติ (ล้มลุกคลุกคลาน ๒๕๔๐)
ยังจับทางวิปัสสนาไม่ได้ แม้จะเพียรปฏิบัติขนาดไหน ก็เป็นได้แค่สมถะ (คือ ความสงบ ข่มกิเลสชั่วคราว) เมื่อหมดกำลังสมาธิ กิเลสก็เกิดขึ้นมาเหมือนเดิม (สมาธิหัวตอ สงบอย่างเดียว ไม่ออกทางปัญญา) จึงเป็นช่วงที่ล้มลุกคลุกคลาน จะตาย ก็ไม่ตาย จะบ้า ก็ไม่บ้า จะเพี้ยน ก็ไม่เพี้ยน เกิดความสงสัยท้อแท้ บางครั้ง จิตหลอน สะดุ้งตื่น คิดจะเลิกปฏิบัติ จึง
โทรฯ หาหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เนื่องจาก ผู้เขียน อยู่ต่างจังหวัด
ท่านตอบว่า “ แกก็รู้จักปล่อยวางบ้างซี ! หยุดไม่ได้ สมาธิจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ๑๐ นาที ต่อวัน เป็นอย่างน้อย ถ้ามีเวลา ก็ควรทำให้มาก
กว่านี้ การทำสมาธิแต่ละครั้งจะได้พลังจิต จะเข้าไปช่วยรักษาจิตใจให้เป็นปกติ พระเทวทัตต์ ก็ยังทำสมาธิได้ฯ ” ความหมาย แม้กระทั่งคนหยาบบาปหนา ก็ยังสามารถทำสมาธิได้ เพราะ ร่างกาย และ ธาตุขันธ์ ยังมีอยู่ สมาธิจึงเป็นวิหารธรรม (เครื่องอยู่ในปัจจุบัน) และ นำมาซึ่งความสุข แต่เพราะ บางคน ได้สร้างกรรมอันหนัก จึงไม่สามารถบรรลุถึงซึ่งมรรคผล ได้ ดังนั้น แม้ ผู้เขียน ยังออกทางปัญญาไม่ได้ แต่ก็ยังคงทำสมาธิมาอย่างสม่ำเสมอหลายปี “ สอนได้แล้ว ” หลวงพ่อ บอกตรงๆ กับ ผู้เขียน คือ เมื่อเรียนจบแล้ว ให้เจียระไน (พิจารณา , ออกทางปัญญา , บริหาร)