วาสนา คือกิริยาและอาการใดๆที่ไม่เรียบร้อย มีพระพุทธเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ละได้ ตรัสรู้พระธรรมแล้วสวยงาม ยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบ เพราะท่านคือศาสดาเอกของโลก ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนาน เป็นยอด ประเสริฐสุด นั่นก็คือหนึ่งไม่มีสอง ส่วนสาวกละวาสนาไม่ได้ เช่น พระสารีบุตร ท่านเคยเกิดเป็นลิงมาหลายร้อยชาติ เมื่อมาถึงชาติที่ท่านหมดกิเลส กิริยาอาการที่ไม่เรียบร้อย ยังคงเป็นอุปนิสัยติดตามมาเหมือนเดิม ละไม่ได้ (สาวกละกิเลสได้ วาสนาละไม่ได้) “ กิเลสหมดสิ้นไปจากใจแล้วก็จบ เพราะนั่นคือเมืองพอที่ใจ ”
ดังนั้น พระอรหันต์แต่ละองค์นั้น จริต อุปนิสัยและในความหยาบละเอียดจึงไม่เหมือนกัน (แต่หมดกิเลส เป็นสติวินัยทุกองค์ คือฉลาด รอบคอบ รอบตัวและรอบกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง) อย่าเพ่งโทษ ตำหนิหรือจับผิดท่าน เพราะบ่อยเข้าจะเป็นการอิจฉา (กรรมหนัก) ทำให้เกิดอาเพศและภัยพิบัติต่างๆ ไม่เจ็บไม่รู้ (เป็นกฎของธรรมชาติ ธรรมลงโทษ เบื้องบนท่านไม่ยอมฯ) หากท่านไม่บอก เราก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าท่านคือพระอรหันต์ หากสงสัยไม่มีศรัทธาให้นิ่งเฉย อย่าคิดแม้จะตำหนิภายในใจ ต่างคนต่างอยู่ก็จบ อย่าก้าวก่ายกัน (สันโดษ) หากอยากรู้ อยากพ้นทุกข์ ให้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านสักระยะ (ทางพ้นทุกข์โดยย่อ หน้า ๑) สังเกตถ้าถูกทางจะไม่นาน ให้ดูการเปลี่ยนแปลงที่ภายในจิต แล้วเทียบกับพระอริยบุคคลและสังโยชน์ สมถะคือความสงบจะข่มกิเลสชั่วคราว แต่ถ้าพิจารณาถูกต้อง แต่ละชั้นของพระอริยบุคคล กิเลสจะขาดแล้วขาดเลย คือได้แล้วไม่เสื่อม “ เมื่อมีความพอเพียงกิเลสจะเริ่มเบาบาง และที่สุดก็จะหมดสิ้นไปจากใจจิตดูดดื่มและเริ่มปล่อยวาง (เป็นไปตามลำดับ) ปล่อยวางข้างนอก ปล่อยวางข้างในและปล่อยวางด้วยประการทั้งปวง) เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เองเห็นเอง ธรรมะและความสงสัยนั้นไม่มีที่สิ้นสุด จึงต้องยุติด้วยการปฏิบัติ ”