สายตรงพ้นทุกข์ (การพิจารณาจิต (ผู้รู้) , จับจุดได้)
๓ ธ.ค. พ.ศ. ๒๕๕๑ ณ ที่พักสงฆ์ป่าช้า บ. นาสีนวล อ. สหัสขันธ์
จ. กาฬสินธุ์ สนทนาธรรมทางโทรศัพท์ กับ โยม ผ่องศรี บุญวัฒน์ ซึ่งเป็นสหธรรมมิก ได้ยินว่า “ ตัด พิจารณา อนัตตา ” สักระยะในวันเดียวกัน ได้ยินเสียง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ทางวิทยุเสียงธรรมฯ ท่านเทศน์ว่า “ การดำเนินวิปัสสนา ให้ วาดภาพ , มโนภาพขึ้นมาในจิต จิตจะเป็นวิปัสสนาโดยอัตโนมัติ อนัตตา แปลว่า สลายไป ” (พิจารณาไตรลักษณ์ฯ)
ดังนั้น เมื่อจิตสงบ เพ่งเบาๆ ที่ฐาน มโนภาพ นึกให้สลายแยกออก ตามเข้าไปเรื่อยๆ โดย อนุโลมปฏิโลม เมื่อจิตสงบ จะมืด สว่าง หรือ เกิดกระแส ก็ไม่ต้องกังวล ทำตามขั้นตอนดังที่กล่าวมา จิตจะเป็นวิปัสสนา โดย อัตโนมัติ เมื่อพอเพียง กิเลสจะเริ่มเบาบาง ที่สุด ก็จะหมดสิ้นไป ถึงจะจับได้ตรงจุด แต่ก็ยังสงสัย เพราะ อวิชชา ยังไม่หมดสิ้นไป สักระยะวันเดียวกัน ช่วงหัวค่ำ ได้ยิน หลวงตามหาบัว ท่านเทศน์ทางวิทยุว่า “เราล้มลุกคลุกคลานมาสารพัดแบบ เพราะฉะนั้น สอนได้ทุกรูปแบบ นั่นแหละ ย้ำเข้าไปตรงนั้นแหละ จุดเดียวได้ผลเยอะที่สุด” (พิจารณาจุดเดียว)
ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียน จึงเพ่งพิจารณาให้สลายแยกออกจุดเดียว โดยอนุโลมปฏิโลม ปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ สติกำหนดพิจารณาจิต (ผู้รู้) จับจุดการออกทางปัญญา และ พิจารณาได้ตรงจุด คือ เพ่งเบาๆ ที่หน้าผาก แล้วนึกให้สลายฯ เป็นผลทำให้ความก้าวหน้าของจิต เลื่อนระดับอย่างรวดเร็วและ ปลอดภัย เป็นไปโดยราบรื่น และบรรลุธรรมอย่างเงียบๆ คือ ประเภทสุกขวิปัสสโก อย่างที่น่าพอใจ ในวันที่ ๒๐ ก.ค. พ.ศ. ๒๕๕๓ พรรษา ที่ ๖ เวลา ประมาณ ๑๘.๐๐–๒๐.๐๐ น. ณ เรือนว่าง ที่ดินของพ่อแม่ เลขที่ ๑๖๗ ม.๔ อ.นาแก จ.นครพนม การบรรลุเป็นไปตามลำดับ นั่นคือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ คือ รู้ละเอียดลออเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายถึงความสมบูรณ์ และ พอตัวของจิตใจ (หมดกิเลสไม่รู้ขณะ)
๒๑ ก.ค. พ.ศ. ๒๕๕๓ มีเสียงรบกวนเข้ามาทดสอบ แต่ไม่รำคาญ ! คือ เวทนาเข้าไม่ถึงจิต “ เริ่มรู้ว่าบรรลุ ” ๒๖ ก.ค. หลวงพ่อเมือง ๒๗ ก.ค. หลวงตามหาบัว (๖ – ๗ วัน หลังจากบรรลุพระอรหันต์) เสียงธรรมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์ “ หมดแล้วๆ ” คือ กิเลสได้หมดสิ้นไปจากใจ เพราะ เป็นธรรมเหนือโลก , ธรรมะจัดสรรฯ “ หาแทบตาย อยู่ใกล้ๆ ง่ายนิดเดียว ”
กลางคืน นอนในป่าช้าเปลี่ยวคนเดียว รู้สึกเฉยๆ อาการจิตหลอน
สะดุ้งตื่นหายขาด สักแต่ว่ารู้ๆ ไม่เป็นกิเลส ไม่สุข ไม่ทุกข์ เฉยๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่มีเกิดดับ ไม่ถอยหลัง ไม่เดินหน้า เที่ยงตลอดจิต เป็นกลางๆ คือ สอุปาทิเสสนิพพาน เพียงพอ กิเลสหมดไปเป็นใช้ได้ รสชาติเหมือนกัน
รู้จักประมาณตนเอง จึงพ้นทุกข์แบบพอเพียง “ เปรียบ รบร้อยครั้ง ก็ชนะ
ทั้งร้อยครั้ง ” อย่าฝืน เพราะ จะลำบาก และ ตายทิ้งเสียเปล่า
ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้เขียน เดินทางโดยรถกระบะ ความเร็ว ๙๐ ก.ม. / ชั่วโมง จาก อ.นาแก จ.นครพนม ไป จ.อุดรฯ (เวลา ๐๒.๐๐ น.) สักระยะ มีรถกระบะอีกฝั่ง วิ่งเสียหลักสวนทางข้ามฝั่งเข้ามาใกล้ประมาณ ๗ – ๘ เมตร แล้วหักหลบไปทางขวา (ของเขา) รถ ผู้เขียน นั่ง หักหลบไปทางขวา (ของเรา) รถของต่างคนต่างไปด้วยความปลอดภัย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะ นั่นคือ ธรรมจัดสรร (จัดสรรให้แคล้วคลาด)
จิตของผู้เขียนนิ่งเฉย เพราะ เวทนาเข้าไม่ถึงจิต (สอุปาทิเสสนิพ
พาน) ส่วนคนขับบอกว่า “ อาจารย์ ผมยังทำใจไม่ได้ ” (เวทนาเข้าสู่จิตเต็ม ๑๐๐) จิตที่ฝึกดีแล้ว จึงนำสุขมาให้ พิจารณามองอย่างเป็นกลางๆ ระหว่าง อริยบุคคลชั้นสูงสุด กับ ปุถุชนคนธรรมดา (ถึงเวลาจะมีสิ่งเข้ามาทดสอบ เช่น ความตาย มีด ปืน และ การถูกขู่เข็ญด้วยประการต่างๆ)
เปรียบเทียบระยะเวลาการปฏิบัติ
(๑) ๑๒ เริ่มแรกปฏิบัติ (ล้มลุกคลุกคลาน) พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึงพ้นทุกข์ ๒๐ ก.ค. พ.ศ. ๒๕๕๓ (ใช้เวลาประมาณ ๑๓ ปี)
(๒) ๑๓ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ (สะเปะสะปะ แต่ก็ได้บ้าง) ๘ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๕๑ ถึงพ้นทุกข์ ๒๐ ก.ค. พ.ศ. ๒๕๕๓ (ใช้เวลา ๒ ปีกว่า)
(๓) ๑๔ สายตรงพ้นทุกข์ (การพิจารณาจิต (ผู้รู้) ,จับจุดได้) ๓ ธ.ค. พ.ศ. ๒๕๕๑ ถึงพ้นทุกข์ ๒๐ ก.ค. พ.ศ. ๒๕๕๓ (๑ ปีกว่า , ดูภาวนาเพิ่ม)
สังเกต ระยะเวลาจะไม่นาน หากจับจุดได้ อาจใช้เวลาประมาณ ๑ ปี
กว่า หรือ น้อยกว่านี้ ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เขียนเพื่อเป็นแนวทางและ ให้กำลังใจ ผู้ประกอบความเพียร ไม่ให้ท้อถอย และ ไม่ควรคิดว่าตนบุญวาสนาน้อย หรือ ไม่มีเวลา เพราะ หากใช้วิธีพิจารณาโดยถูกต้อง และ มีความแม่นยำแล้ว ก็ไม่พ้นวิสัยของเราๆ ท่านๆ ไปได้