คำทำนายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
รัชกาลที่ ๑ ทายว่า มหากาฬ (ทำลายเพื่อนและพี่น้อง)
รัชกาลที่ ๒ ทายว่า ฌานยักษ์ (ชำนาญเวทย์มนต์)
รัชกาลที่ ๓ ทายว่า รักมิตร (มีการค้าขายกับชาวต่างชาติมากมาย)
รัชกาลที่ ๔ ทายว่า สนิทคำ (ออกบวช)
รัชกาลที่ ๕ ทายว่า จำแขนขาด (ต้องยอมเสียดินแดนฝั่งแม่น้ำโขง และเขมร เพื่อป้องกันอธิปไตย)
รัชกาลที่ ๖ ทายว่า ราชโจร (เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดกลุ่มโจรมากมาย มีการตั้งกองเสือป่าครั้งแรกของไทย)
รัชกาลที่ ๗ ทายว่า ชนร้องทุกข์ (เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)
รัชกาลที่ ๘ ทายว่า ยุคทมิฬ (กษัตริย์ถูกลอบปลงพระชนม์)
รัชกาลที่ ๙ ทายว่า ถิ่นกาขาว (มีการชักชวนกันมาทำบุญ คนเริ่มรักษาศีลภาวนาเพราะเห็นทุกข์ และได้บรรลุธรรมชั้นต่างๆมาก ฝรั่งเข้ามาเยอะ นำเงินเข้ามาซื้อประเทศไทย เกิดวิกฤตการเงิน แต่ผ่านพ้นมาได้ฯ)
รัชกาลที่ ๑๐ ทายว่า ชาวศรีวิไล (จะเหลือเฉพาะผู้มีบุญที่รอคอยฯ)
ภาวนาสม่ำเสมอเป็นการเพิ่มพลังจิต มีการสร้างบุญกุศลสะสมมานับชาติไม่ถ้วนเก็บไว้ที่จิต
“ นึกแล้วมา ” ในวงปฏิบัตินั้นจะเข้าใจกัน คือฤทธิ์ทางใจ บุญฤทธิ์ อิทธิบาท ๔ ธรรมจัดสรร ต่างๆตามแต่จะเรียก ซึ่งก็เปรียบของใช้ในบ้าน จะหยิบมาใช้เมื่อไหร่ก็หยิบได้ เพราะเป็นสมบัติของ เรา และก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ พระอรหันต์เท่านั้นที่จะทำประวัติพระอรหันต์ได้ อธิบาย เพราะความละเอียดถี่ถ้วนของมรรคผลและนิพพาน บางเรื่องนั้นจึงสุดวิสัยของพระเสขะซึ่งอวิชชายังมีอยู่ (ละเอียดเกินไป คุยไม่รู้เรื่อง เสียเวลาเปล่าและจะทำให้เกิดการตำหนิเพราะความไม่รู้ฯ) จึงเป็นวิสัยของพระอเสขะผู้ดับอวิชชาจะมาเจียระไน แล้วก็บอกสอนกันต่อไป (ซึ่งจะแน่นอนกว่า) การภาวนา หากเปิดเทศน์กำหนดจิตพิจารณาไปด้วย จิตจะขยับตาม เกิดความราบรื่น เปรียบการเดินทาง มีรถมีเรือเป็นเครื่องอาศัย หากกำหนดจิตพิจารณาไม่เปิดเทศน์ก็ได้ แต่ความราบรื่นนั้นอาจจะน้อยกว่า เปรียบการเดินทาง ไม่มีรถหรือเรือ (คือเดินหรือว่ายน้ำ) ใช้วิจารณญาณ(ปฏิบัติตามอัธยาศัย ถนัดแบบใดได้เลย) โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีและอรหันต์ เมื่อเป็นสัญญาความรู้ความจำคือของปลอม แต่เมื่อไปสถิตอยู่ในพระโสดาบัน พระสกิทาคามีพระอนาคามีและพระอรหันต์จึงเป็นของจริง เพราะไม่เสื่อมไม่ถอยหลัง ความจริงกับความจำจึงต่างกันราวฟ้ากับดิน ทำไมไม่สว่าง ไม่เห็น ? เพราะฐานจิตของแต่ละคนเป็นไปในทางสุกขวิปัสสโก–จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต คือวาสนาได้สร้างมามากน้อยต่างกัน บางท่านเป็นลักษณะสุกขวิปัสสโก หรือบางท่านจิตไม่สว่าง ไม่เห็นจริงฯอย่าฝืน อย่าดื้อ ใช้การพิจารณาจิต (ผู้รู้) เมื่อถึงที่สุดได้บรรลุขึ้นมา ในเรื่องความหยาบละเอียดจึงไม่เหมือนกัน ที่เหมือนกันคือหมดกิเลส จบ พอ คือ เมืองพอที่ใจ (ที่สุดแห่งทุกข์) ในสิ่งที่ยากที่สุด จะมีจุดที่ง่ายที่สุด เช่นกัน อาศัยเวลาและบุญวาสนามาถึง การที่จะผลักประตูที่แข็งแรงแน่นหนาด้วยมือเปล่านั้นเป็นเรื่องยาก ! ต้องอาศัยลูกกุญแจเปิด (นั่นก็คือการพิจารณา) หากกิเลสยังไม่หมดสิ้นไปจากใจ ขันธ์ ๕ และร่างกายแตกดับ เอาไปด้วยไม่ได้ แต่จิต (ความฝัน กายละเอียดฯ) นั้นไม่แตกดับ เวียนว่ายตายเกิดเป็นคนหรือสัตว์ต่างๆ วิปัสสนาคือมหกรรมของชีวิต (งานใหญ่) หากพิจารณาถูกต้องนั่นก็คือโชคของชีวิต (โชคที่จะได้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นการลงทุนที่น้อยและมีความราบรื่น) เมื่อกิเลสหมดสิ้นไปจากใจแล้ว วิหารธรรมก็จึงเป็นเครื่องอยู่ในปัจจุบัน จากนั้นแสวงหาความสุข ประครองชีวิตและรักษาธาตุขันธ์ให้เป็นอย่างราบรื่น ทำประโยชน์ให้ตนเองและสังคมส่วนรวม เที่ยวจาริกไปในที่ต่างๆเพื่อโปรดสอนชาวโลก ช่วงเวลาว่างขัดเกลาความรู้และเขียนหนังสือเพิ่มเติม (อย่างพอเพียง) มัชฌิมาปฏิปทานั่นคือทางสายกลาง (ความพอเพียง) ซึ่งเปรียบลมหายใจ คือมีเข้าและมีออก (อนุโลมปฏิโลมที่เป็นไปโดยธรรมชาติ) ลมออกหรือเข้าอย่างเดียวก็ตาย ลมไม่ออกหรือไม่เข้าก็ตาย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง (ไตรลักษณ์) พระนิพพานสิ่งเดียวเที่ยงตลอดอนันตกาล เหนือไตรลักษณ์ (กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเข้าไม่ถึงจิต) ทำงานใหญ่ให้หนักแน่น อุปสรรคต่างๆอย่าเอามาเป็นอารมณ์ เพราะโลกธรรม ๘ นั้น มีอยู่คู่โลกมานานแล้ว คือมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญแล้วก็มีนินทา (ปล่อยวางด้วยปัญญา) “ นตฺเถตํ โลกสฺมึ ยํ อุปาทิยมานํ อนวชฺชํ อสฺสํ สิ่งใดที่เข้าไปยึดถืออยู่ จะพึงหาโทษมิได้ สิ่งนั้นไม่มีในโลก ” (พระจอมเกล้า)