ภาวนา
ภาวนา (การพิจารณาจิต (ผู้รู้) สายตรงพ้นทุกข์)
สัมมาวายาโม (เพียรชอบ) สัมมาสติ (สติชอบ) สัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) = จิตตสิกขา สติปัฏฐาน ๔ คือ สติกำหนดพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เลือกพิจารณาอย่างหนึ่ง ตามความเหมาะสมในจริตของตนเอง เพื่อความชำนาญ (วสี) ในที่นี้ จะยกเอาสติกำหนดพิจารณาจิต (ผู้รู้) นำมาอธิบายเพื่อให้เป็นที่เข้าใจ (ดูหน้า ๓๖ – ๓๗ เพิ่มเติม)
ก่อนภาวนา ระลึกถึง “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ”
๑ หลับตานึกพุทโธที่หน้าผากให้มากๆ (ไม่ช้าไม่เร็ว คือ พอดี) หรือ
ใช้อุบายการภาวนา เช่น เปิดเทศน์กำหนดจิตไปด้วย จิตจะขยับตาม เพิ่ม
สติปัญญา และ ได้ความรู้ (ทำให้เกิดความราบรื่น) ปฏิบัติตามอัธยาศัย
๒ เมื่อจิตสงบ (คือ ปัจจุบัน) จิตจะอิ่มอารมณ์ = จิตสงบ คือ จิตเข้าภวังค์ (ตื้น กลาง ลึก) ภวังค์ คือ ภพ ภพ คือ รังอวิชชา (มีอาการเบากายสบาย หรือ จะมีอาการอย่างอื่นมากมาย นั่นคือ กิริยาอาการของจิต) ไม่ต้องกังวลว่าเป็นสมาธิ หรือ ฌานระดับใด (เพราะ จะทำให้สงสัย) จิตสงบนิ่ง แล้วเพ่ง + พิจารณาได้ ไม่เป็นปัญหา ให้เพ่งจดจ่อเบาๆ อย่าเพ่งแรง แล้วมโนภาพ นึก ให้สลายแยกออก ตามเข้าไปเรื่อยๆ (๑–๔ นาที) หยุดพัก ประมาณ ๑ นาที ทำเหมือนเดิมสลับไปมาโดยอนุโลมปฏิโลม คือ พิจารณาแล้วพัก ด้วยความมีสติตามตลอด (สัมมาสติ) เรียก สติกำหนดพิจารณาจิต (ผู้รู้) ออกทางปัญญา พิจารณาไตรลักษณ์ (สัมมาสมาธิ)
๓ การนึกวาดภาพในจิต กำหนดให้สลายแยกออกตามเข้าไปเรื่อยๆ (ไม่ต้องให้ละเอียดมาก) โดย อนุโลมปฏิโลม จิตจะเป็นวิปัสสนาญาณโดยอัตโนมัติ (เป็นไปเอง) เพ่งเบาๆ นึกให้สลายแยกออก ตามเข้าไปเรื่อยๆ ฯ
๔ ทำให้สม่ำเสมอ จะเกิดความชำนาญ จิตจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ หากปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ ประมาณ ๔–๒๐ วัน สังเกต กามราคะ ปฏิฆะ จะเริ่มเบาบาง (เป็นลักษณะของพระสกิทาคามี) จาก ๑๐๐ % ขาด และ เบาบางเหลือ ๙๙ – ๕๑ % กระทั่งหมดสิ้นไป แต่ละชั้น กิเลสจะขาดแล้วขาดเลย ไม่เกิดขึ้นมาอีก จิตดูดดื่ม เริ่มปล่อยวาง (อุเบกขา) เป็นไปตามลำดับ ทั้งนี้ สุดแล้วแต่ความเพียร ทำมาก หรือ ทำน้อย หลังจากนั้น ให้แผ่เมตตา
ภาพอนัตตา (ไตรลักษณ์ฯ)
อนัตตา แปลว่า สลายไป คือ สลายทำลายกิเลส ไม่ยึด ไม่ใช่ตัวตนเป็นตัวปัญญา ในที่นี้ พิจารณาเป็นลักษณะสลายแยกออกตามเข้าไปเรื่อยๆ โดย อนุโลมปฏิโลม จะราบรื่นกว่า และ ไม่สับสน (ดูภาพประกอบ)
อธิบาย
๑ “ พุทโธ ” คือ คำบริกรรมเป็นเบื้องต้น (อุบายทำให้จิตสงบ) ใช้การเพ่งที่ฐานเบาๆ หรือ ใช้คำอื่น เช่น สัมมาอะระหัง ยุบหนอพองหนอหรือ คำอื่นแทน ก็ได้ (ใช้คำเดียว ไม่ต้องเปลี่ยน เพื่อความชำนาญ)
๒ การกำหนดจุด ให้กำหนดในร่างกาย โดยทั่วไป จะกำหนดที่
หน้าผาก จมูก หน้าอก ท้อง จุดใด ก็ได้ จุดเดียว ไม่ต้องเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความชำนาญ (วสี) ในที่นี้ จะกำหนดที่หน้าผาก เพื่อไม่เป็นการสับสน ที่หน้าผาก เรียก จุดต่อม (จุดพลังอำนาจ ฐาน ที่พัก ที่ตั้งของจิต) ผู้รู้ ภพชาติ อวิชชา และ จิต จะมารวมกันอยู่ที่ตรงจุดนี้ (ชัยภูมิ = ทำเลที่เหมาะ)
๓ การเพ่ง อย่าเพ่งแรง ให้เพ่งเบาๆ (เพ่งแรงจะปวด) เพราะกระแสจิตจะแรงมาก การเพ่ง เป็นการเข้าสู่จุดพลังอำนาจโดยอัตโนมัติ แต่ในที่นี้จะเน้นไปในทางพ้นทุกข์ หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเทศน์ว่า “ จิตสงบ จะบริกรรม
“ พุทโธ ” ย้ำเข้าไปอีก ก็ได้ เพราะ สมาธิ จะมีความมั่นคงยิ่งขึ้นฯ ”
๔ บางท่านภาวนา เมื่อจิตสงบ จะสว่าง มืด หรือ เกิดกระแส ก็ไม่ต้องกังวล เห็น หรือ ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เพราะ นั่นคือ กิริยาจิต เปรียบทานอาหาร มี เปรี้ยว หวาน เผ็ดเค็มฯ มีสติ ใช้มโนภาพ นึก ให้สลายแยกออก ตามเข้าไปเรื่อยๆ โดย อนุโลมปฏิโลม เพราะ เมื่อทำตามขั้นตอนดังที่กล่าวมาโดยสม่ำเสมอ จิตจะเป็นวิปัสสนาญาณ โดย อัตโนมัติ (เป็นไปเอง) เป็นการพิจารณา ออกทางปัญญา ภพชาติ คือ การเกิด จะถูกทำลายไปเรื่อยๆที่สุด ก็จะหมดสิ้นไปจากใจ เช่นเดียวกัน กิเลส คือ ราคะ โทสะ และ โมหะภายในจิต จะเริ่มเบาบาง ที่สุด ก็จะหมดสิ้นไป ผู้ปฏิบัติ ให้ดูการเปลี่ยน
แปลงภายในจิต แล้วเทียบกับสังโยชน์ และ อริยบุคคล (หน้า ๒–๗) สมถะคือ ความสงบ จะข่มกิเลสชั่วคราว แต่ถ้าพิจารณาถูกต้อง แต่ละชั้น ของอริยบุคคล กิเลสขาดจะแล้วขาดเลย ไม่เกิดขึ้นมาอีก คือ ได้แล้วไม่เสื่อม (ระวัง ! เวลานอน อย่าเอาหัวทับมือ เพราะ จะทับเส้นเลือด บ่อยครั้ง จะทำให้เป็นอันตรายถึงขั้นอัมพาตได้)
หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ ท่านเทศน์ว่า “ งานของโลก เป็นงานที่ติดต่อต่อเนื่องกันเหมือนสายโซ่ คือ ยุ่งกันไปหมด ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ งานของธรรม คือ งานถอนวัฏฏะ จับที่เดียว จุดเดียว (คือ สังขาร ผู้รู้ วิญญาณ ภพชาติ) ตรงไหน ก็ได้ จุดเดียว ที่เดียว แล้วก็เจาะลงไปเลยฯ ” คือ จิตสงบ (สมถะ) + การพิจารณาไตรลักษณ์ฯ (ระวังตะครุบเงา , สมาธิหัวตอและ วิปัสสนาตกน้ำฯ) = ปัญญา (หยาบ กลาง ละเอียด)
๑ (สี่เหลี่ยม คือ ขันธ์ ๕ วงกลมนอกสีดำ คือ กิเลส วงกลมในสีขาวคือ จิตเดิม) จิตเดิม (จิตปกติ) มีวิชชา (มูลการหยุดหมุน) และ อวิชชา (มูลการเวียนว่ายตายเกิด) นั่งภาวนาด้วยท่ามาตรฐาน หรือ ท่าอื่นตามความเหมาะสม ระลึกถึง “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆ ๆ ” นั่งด้วยความสำรวม (๑๐)
๒ หลับตานึกพุทโธที่หน้าผากให้มากๆ (ที่หน้าผาก คือ จุดต่อม ฐาน ที่พัก ที่ตั้งของจิตฯ) เมื่อจิตสงบฯ (คือ จิตเข้าภวังค์ ภวังค์ คือ ภพ ภพ คือ รังอวิชชา) แล้วเพ่งเบาๆ อย่าเพ่งแรง เพราะจะปวด จิตจะเข้าสู่จุดพลังอำนาจ โดย อัตโนมัติ (ในที่นี้ จะเน้นในทางพ้นทุกข์) (หน้า ๑๐ – ๑๓)
๓ มโนภาพ นึก ให้สลายแยกออก ตามเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยความมีสติตัวรู้ โดย อนุโลมปฏิโลม จิตจะเป็นวิปัสสนาโดยอัตโนมัติ เมื่อมีความพอ
เพียง กิเลสจะเริ่มเบาบาง ที่สุด จะหมดสิ้นไปจากใจ ตัวสลาย คือ ตัวอนัตตา (ไตรลักษณ์) และ เป็นตัวปัญญา (เส้นประ) สลายทำลายกิเลส ผลคือ การได้บรรลุอริยบุคคล (ประมาณ ๔–๒๐ วัน) จากนั้น ให้แผ่เมตตาจิต
๔ (วงกลมนอก คือ หมดกิเลส วงกลมใน คือ จิตดวงเดียวฯ) อวิชชาดับ มีวิชชาเป็นมูลการหยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิด ถึงความสม –
บูรณ์ และ พอตัวของจิตใจ จิตบริสุทธิ์ , ว่าง (ว่างจากกิเลส) จึงเกิดความรู้ว่าหมดกิเลส (นิพพิทาญาณ) กิเลสปรุง ก็ปรุงตามธาตุขันธ์ ยิบๆ แย๊บๆ ปรุงปั๊บ ดับปุ๊บ เฉยๆ บรรลุธรรมขั้นสุดยอด เรียก พระนิพพาน (หน้า ๕)